แรงบันดาลใจเบื้องหลัง “องค์ราชินีอิสราวดี”(EN)
(เล่าจากใจนักเขียน)
เคยสังเกตไหมคะ… ว่าองค์ราชินีในเรื่องนั้นเงียบขรึมกว่าตัวละครใด ๆ
พระองค์แทบไม่ตรัสอะไรเลย
แต่ทุกถ้อยคำ ทุกแววตา ทุกการกระทำ กลับชัดเจนตรงกับหัวใจที่สุด
“องค์หญิงอิสราวดี” เป็นพระธิดาองค์เดียวของพระราชาอนันตวรมัน
ทรงได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาทตั้งแต่อายุ 18 ชันษา
และได้ขึ้นครองราชย์แทนพระราชบิดาที่สละราชบัลลังก์เพื่อให้พระธิดาได้ดูแลแคว้นต่อ
นักเขียนตั้งใจสร้างองค์ราชินีให้ “นิ่ง” อย่างมีเหตุผลค่ะ
เพราะในฐานะผู้นำของบ้านเมือง
คำพูดเพียงคำเดียวของพระองค์ ย่อมมีผลตามมาเสมอ
ความนิ่งจึงไม่ใช่ความเย็นชา
แต่มันคือความสงบ ความมั่นคง และความหนักแน่นที่เกิดจากการคิดอย่างรอบคอบก่อนจะพูดหรือกระทำสิ่งใดออกไป
แม้แต่เรื่องความรัก…
องค์ราชินีรู้ใจตัวเองดี
แต่ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง (ที่แม้จะอยู่สูงเพียงใดก็ยังรู้สึก)
พระองค์ก็ย่อมมีความลังเลอยู่บ้างในบางขณะ
นักเขียนตั้งใจให้ความสงสัยเล็ก ๆ นี้อยู่กับพระองค์
แต่ก็ไม่ได้ปล่อยให้มันอยู่นานค่ะ
ถ้าใครได้อ่าน… จะรู้ว่าพระองค์กล้าพอจะฟังหัวใจตัวเองในท้ายที่สุด
และถึงจะนิ่งแค่ไหน…
บางครั้งองค์ราชินีก็เหมือนจะ “ลืมไป” ว่าพระองค์ทรงงามขนาดไหนนะคะ
งามจนมีคนกล้าเดินเข้าหา—แต่ก็ไม่มีใครเข้าถึงหัวใจพระองค์ได้ง่ายเลย
แรงบันดาลใจของนักเขียนในการสร้างองค์ราชินีในแบบที่เห็น
มาจากดาราสาวคนหนึ่งที่กำลังโด่งดังมากตอนนี้
“หลิงหลิง คอง”
เธอทั้งสวย ทั้งหวาน และเต็มไปด้วยความสง่างามในแบบที่ไม่ต้องพยายาม
เมื่อนักเขียนเห็นเธอ ก็นึกในใจว่า
“ถ้าราชินีอิสราวดีมีตัวตนอยู่จริง… นี่แหละคือภาพของพระองค์”
ความสวยของหลิงหลิงคือสิ่งที่ทำให้นักเขียนกล้าเขียนคำว่า “งดงาม” ลงในนิยายโดยไม่รู้สึกเวอร์เกินจริงเลย
มันเป็นความงามที่เรียบง่าย แต่สะกดใจ และทำให้พระสนมคนหนึ่งในเรื่องถึงกับ “สะดุ้งในใจ” เมื่อมีใครพูดชมพระองค์ตรง ๆ (ไม่เล่ามาก เดี๋ยวสปอยล์ค่ะ!)
แล้วถ้าจะให้พูดถึงฉากประทับใจ…
จะบอกว่าทุกฉากก็ยังได้ (หัวเราะ)
แต่มีฉากหนึ่งที่นักเขียน “อิน” มาก
จนต้องบันทึกความรู้สึกไว้ใน ReadAWrite
และยอมรับเลยค่ะว่าระหว่างเขียนฉากนั้น… ร้องไห้ไปด้วยจริง ๆ
มันเป็นฉากที่เรียบง่ายที่สุดฉากหนึ่ง
แต่เป็นฉากที่พระองค์รู้สึก “สุข” กับสิ่งเล็กน้อย
แม้จะรู้ดีว่าความสุขนั้นแสนสั้น
มันเป็นช่วงเวลาที่หัวใจพระองค์เปิดรับบางอย่าง
แม้จะหวาดกลัวอยู่ลึก ๆ ว่ามันอาจไม่มีวันยาวนาน
และนักเขียนเอง…
ทั้ง ๆ ที่เป็นคนกำหนดชะตากรรมของตัวละครทุกคน
กลับรู้สึก “ทำอะไรให้พระองค์ไม่ได้เลย”
แม้แต่ความสุขเล็ก ๆ ที่พระองค์ค้นพบในวันนั้น
นักเขียนยังไม่สามารถให้มันอยู่กับพระองค์ได้นานพอ
ความรู้สึกมันตีกันไปหมด
ทั้งดีใจที่พระองค์มีความสุข
ทั้งสงสารที่รู้ว่ามันจะอยู่ไม่นาน
ทั้งรู้สึกผิดในฐานะคนสร้าง
มันเลยหลุดออกมาเป็นน้ำตา… โดยไม่รู้ตัว
นักเขียนเคยคิดเล่น ๆ ด้วยซ้ำ
ว่าถ้าเราเป็นประชาชนในแคว้นรัตตมธานีจริง ๆ แล้วได้รู้ว่า
ผู้นำของเราต้องยอมเสียสละแม้กระทั่งความสุขส่วนตัว
เพื่อแบกรับความสงบสุขของบ้านเมือง
มันคงเป็นความรู้สึกที่ปนเปกันระหว่างความเคารพ กับความห่วงใยที่บอกไม่ถูก
และทั้งหมดที่พูดมา…
เกิดขึ้นในฉากที่พระองค์แค่ “แช่พระบาทในน้ำอุ่น”
แค่นั้นเองค่ะ
แต่มันคือช่วงเวลาที่เธอค้นพบความสุขบางอย่าง
ที่นักเขียนไม่สามารถมอบให้เธอได้อีกครั้ง
ฉากนั้น…
มันเหมือนองค์ราชินีเป็นคนเขียนด้วยตัวเอง
เล่าทุกอย่างออกมาผ่านนักเขียน
และนักเขียนก็ได้แต่รู้สึกขอบคุณพระองค์
ที่ถ่อมตน รู้จักตัวเอง และเสียสละอย่างเงียบงามเสมอ
เธอคือราชินีแห่งรัตตมธานี
และเธอจะเป็นหนึ่งในตัวละครที่นักเขียนไม่มีวันลืม